ข้อมูล (Data) ต่างๆ บนโลกออนไลน์ล้วนมีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาสินค้าและบริการ การรักษาฐานลูกค้า หรือการคิดแคมเปญการตลาดต่างๆ แต่ในขณะเดียวกัน การคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลก็ได้กลายเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับองค์กร กฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลอย่าง PDPA และ European GDPR จึงเป็นข้อกฎหมายสำคัญที่มีอิทธิพลต่อวิธีที่บริษัทและองค์บริหารจัดการข้อมูลลูกค้าและบุคลากร
บทความนี้จะนำเสนอความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายทั้ง PDPA และ GDPR ความเกี่ยวข้องกับการรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) และแนวทางที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณปฏิบัติตามข้อกำหนดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

PDPA คืออะไร?
PDPA (Personal Data Protection Act) คือ พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ. 2562 ที่มีผลบังคับใช้อย่างเต็มรูปแบบเมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2565 กฎหมายนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อปกป้องสิทธิความเป็นส่วนตัวและข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน เช่น ชื่อ ที่อยู่ เบอร์โทรศัพท์ อีเมล ข้อมูลทางการเงิน ประวัติสุขภาพ และข้อมูลอื่นๆ ที่สามารถระบุตัวบุคคลได้
PDPA ให้สิทธิแก่เจ้าของข้อมูลในการควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลของตนเอง รวมถึงสิทธิในการรับรู้และให้ความยินยอมก่อนการเก็บข้อมูล พร้อมมอบสิทธิในการเข้าถึง แก้ไข หรือลบข้อมูลส่วนบุคคล และสิทธิในการคัดค้านการประมวลผลข้อมูล
GDPR คืออะไร?
GDPR คือ กฎระเบียบการคุ้มครองข้อมูลทั่วไป (General Data Protection Regulation) ที่ประกาศใช้โดยสหภาพยุโรปในปี 2018 โดย European GDPR ถือเป็นหนึ่งในกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่เข้มงวดที่สุดในโลก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของพลเมืองในสหภาพยุโรป ไม่ว่าข้อมูลนั้นจะถูกประมวลผลที่ใดก็ตาม
GDPR ได้กำหนดหลักการสำคัญในการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล รวมถึงความโปร่งใส ความถูกต้อง การจำกัดวัตถุประสงค์ และการรักษาความปลอดภัยของข้อมูล ซึ่งมีบทลงโทษที่รุนแรงสำหรับผู้ที่ไม่ปฏิบัติตามหรือละเมิดกฎดังกล่าว
PDPA vs GDPR ความเหมือนและความแตกต่าง
แม้ว่ากฎหมาย PDPA ที่บังคับใช้ในประเทศไทยจะได้รับแรงบันดาลใจจาก GDPR แต่กฎหมายก็ทั้งสองฉบับนั้นล้วนมีจุดเหมือนและจุดต่างอย่างมีนัยสำคัญ ดังนี้
ฐานทางกฎหมายในการประมวลผลข้อมูล
ทั้ง PDPA และ GDPR มีข้อกำหนดที่คล้ายคลึงกันเกี่ยวกับฐานทางกฎหมายในการประมวลผลข้อมูล ทั้งสองกฎหมายระบุว่าการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลต้องอยู่บนพื้นฐานของความยินยอม การปฏิบัติตามสัญญา ภาระผูกพันทางกฎหมาย ผลประโยชน์ที่ชอบด้วยกฎหมาย หรือประโยชน์สำคัญของเจ้าของข้อมูล
ขอบเขตการบังคับใช้นอกอาณาเขต
ทั้ง PDPA และ GDPR สามารถบังคับใช้กับผู้ควบคุมและผู้ประมวลผลข้อมูลที่อยู่นอกประเทศตน หรือก็คือ องค์กรที่อยู่นอกประเทศไทยแต่ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล เสนอสินค้าหรือบริการ หรือติดตามพฤติกรรมของบุคคลในประเทศไทยล้วนต้องปฏิบัติตาม PDPA เช่นเดียวกับ GDPR ที่บังคับใช้กับองค์กรนอกสหภาพยุโรปที่ดำเนินการกับข้อมูลของพลเมืองยุโรป
ผู้ควบคุมและผู้ประมวลผลข้อมูล
ทั้ง GDPR และ PDPA มีความคล้ายคลึงกันในด้านขอบเขตและความรับผิดชอบของผู้ควบคุมข้อมูลและผู้ประมวลผลข้อมูล กฎหมายทั้งสองฉบับกำหนดให้ผู้ควบคุมข้อมูลต้องใช้มาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสม เช่น ไฟร์วอลล์ (Firewall) หรือระบบ Data Loss Prevention และแจ้งเตือนหน่วยงานที่กำกับดูแลเมื่อเกิดการรั่วไหลของข้อมูล
อย่างไรก็ตาม GDPR กำหนดให้มีการประเมินผลกระทบด้านการคุ้มครองข้อมูล (Data Protection Impact Assessments) ในบางกรณี ในขณะที่ PDPA ระบุว่า ผู้ควบคุมข้อมูลมีหน้าที่จัดให้มีมาตรการรักษาความปลอดภัยที่เหมาะสมและทบทวนมาตรการเมื่อจำเป็น
บทลงโทษ
ทั้ง GDPR และ PDPA มีข้อกำหนดบทลงโทษหากเกิดการละเมิดข้อมูล ซึ่งโทษตาม PDPA รวมถึงโทษจำคุกสูงสุด 6 เดือนและค่าปรับทางปกครองสูงสุด 5 ล้านบาท หากการไม่ปฏิบัติตาม ในขณะที่ GDPR อาจมีค่าปรับทางปกครองสูงถึง 20 ล้านยูโรหรือ 4% ของรายได้ประจำปี แล้วแต่ว่าจำนวนใดจะสูงกว่า หากองค์ไม่ทำตามหรือวางมาตรการรักษาความปลอดภัยไม่เหมาะสมจนเกิดการรั่วไหลของข้อมูล อาจต้องระวางโทษดังกล่าว ซึ่งส่งผลกระทบทั้งต่อต้นทุนการดำเนินธุรกิจและชื่อเสียง
การโอนย้ายข้อมูล
ทั้ง GDPR และ PDPA มีข้อจำกัดและข้อยกเว้นสำหรับการโอนข้อมูลส่วนบุคคลข้ามพรมแดนไปยังประเทศที่สามหรือองค์กรระหว่างประเทศ การโอนข้อมูลในลักษณะนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานที่ชอบธรรมหรือมีระดับการคุ้มครองข้อมูลที่เพียงพอตามที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนด
PDPA และ GDPR เกี่ยวข้องกับ Cybersecurity อย่างไร?
จากที่กล่าวไปข้างต้น จะเห็นได้ว่าการปฏิบัติตาม PDPA และ GDPR นั้นเชื่อมโยงโดยตรงกับ Cybersecurity เนื่องจากทั้งสองกฎหมายกำหนดให้องค์กรต้องใช้มาตรการทางเทคนิคและการบริหารจัดการที่เหมาะสม เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลที่องค์กรเก็บรวบรวมอย่างครอบคลุมที่สุด
การป้องกันภัยคุกคามทางไซเบอร์
แม้องค์กรจะติดตั้งระบบและมาตรการป้องกันที่แข็งแกร่ง แต่การละเมิด PDPA และ GDPR อาจเกิดขึ้นได้จากการโจมตีทางไซเบอร์ เช่น ฟิชชิง (Phishing) หรือการหลอกลวงให้เปิดเผยข้อมูลด้วยเทคนิคทางจิตวิทยาต่างๆ โดยมิจฉาชีพมักกระทำผ่านอีเมลหรือข้อความที่ปลอมเป็นแหล่งที่น่าเชื่อถือ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในรูปแบบการโจมตีที่บ่อยได้บ่อยในปัจจุบัน นอกจากนี้ยังมีการโจมตีผ่านมัลแวร์เรียกค่าไถ่ หรือ Ransomware ที่ออกแบบมาเพื่อเข้ารหัสข้อมูลสำคัญขององค์กรและเรียกค่าไถ่
ในปัจจุบัน การโจมตีทางไซเบอร์ล้วนแล้วแต่พัฒนาให้มีความซับซ้อนยิ่งขึ้น องค์กรจำเป็นต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่ล้ำสมัย เช่น
- Next-Generation Firewall (NGFW) - ด่านแรกในการป้องกันการเข้าถึงเครือข่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตที่มีความสามารถในการตรวจสอบเนื้อหาแพ็กเก็ตและตรวจจับภัยคุกคามขั้นสูงได้
- Data Loss Prevention (DLP) - เทคโนโลยีที่ตรวจสอบและควบคุมการส่งข้อมูลออกนอกองค์กร ช่วยป้องกันการรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่ได้รับอนุญาต
- การเข้ารหัสข้อมูล (Data Encryption) - ปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลทั้งในขณะจัดเก็บและระหว่างการส่ง ทำให้ข้อมูลไม่สามารถอ่านได้แม้ว่าจะถูกขโมยไป
- Endpoint Detection and Response (EDR) - เครื่องมือที่ตรวจสอบและตอบสนองต่อภัยคุกคามที่อุปกรณ์ปลายทาง ช่วยให้ทีม IT สามารถตรวจจับ สอบสวนตรวจสอบเชิงลึก และตอบสนองต่อการโจมตีได้อย่างรวดเร็ว หรืออาจเลือกใช้ MDR ที่มุ่งเน้นการตรวจจับภัยคุกคามเชิงรุกและเฝ้าระวังภัยคุกคามอย่างต่อเนื่องตลอด 24 ชั่วโมง
การจัดการการละเมิดข้อมูลตามข้อกำหนดของ PDPA และ GDPR
ทั้ง PDPA และ GDPR มีข้อกำหนดเฉพาะเกี่ยวกับการจัดการและการแจ้งเตือนเมื่อเกิดเหตุการณ์การละเมิดข้อมูล ดังนี้
1. ตรวจจับการละเมิดข้อมูล
องค์กรต้องมีระบบที่สามารถตรวจจับการละเมิดข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งเทคโนโลยี เช่น ระบบตรวจสอบพฤติกรรมผู้ใช้ (User Behavior Analytics) และระบบตรวจจับความผิดปกติของเครือข่าย (Network Anomaly Detection) สามารถช่วยในการตรวจจับการละเมิดข้อมูลในระยะเริ่มต้นได้
2. ประเมินความเสี่ยง
เมื่อเครือข่ายถูกเจาะระบบหรือเกิดการโจมตีจากแฮกเกอร์ องค์กรต้องประเมินความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อสิทธิและเสรีภาพของเจ้าของข้อมูล โดยกระบวนการนี้ควรพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ประเภทของข้อมูลที่ถูกละเมิด จำนวนเจ้าของข้อมูลที่ได้รับผลกระทบ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
3. แจ้งเตือนหน่วยงานกำกับดูแล
GDPR กำหนดให้แจ้งเตือนหน่วยงานกำกับดูแลภายใน 72 ชั่วโมงหลังจากทราบถึงเหตุการณ์การละเมิดข้อมูล ในขณะที่ PDPA กำหนดให้แจ้งเตือนหากการละเมิดอาจส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของเจ้าของข้อมูล แต่ไม่ได้ระบุกรอบเวลาที่ชัดเจน
ทั้งนี้ การแจ้งเตือนควรรวมข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะของการละเมิด ประเภทของข้อมูลที่ได้รับผลกระทบ จำนวนเจ้าของข้อมูลที่ได้รับผลกระทบ มาตรการที่ใช้หรือเสนอเพื่อแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว และข้อมูลติดต่อของเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูล (DPO) ในองค์กร หรือบุคคลที่สามารถให้ข้อมูลเพิ่มเติมได้
4. แจ้งเตือนเจ้าของข้อมูล
ในกรณีที่การละเมิดอาจส่งผลกระทบต่อสิทธิและเสรีภาพของเจ้าของข้อมูล องค์กรจำเป็นต้องแจ้งเตือนเจ้าของข้อมูลโดยไม่ล่าช้า การแจ้งเตือนควรใช้ภาษาที่ชัดเจนและเข้าใจง่าย อธิบายลักษณะของการละเมิด ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น และขั้นตอนที่เจ้าของข้อมูลสามารถทำเพื่อปกป้องตนเอง
5. บันทึกการละเมิดข้อมูล
องค์กรต้องบันทึกรายละเอียดทั้งหมดเกี่ยวกับข้อมูลที่ถูกละเมิด ไม่ว่าจะเป็นข้อเท็จจริง ผลกระทบ และการดำเนินการแก้ไขเหตุการณ์ ซึ่งบันทึกนี้อาจถูกร้องขอโดยหน่วยงานกำกับดูแลเพื่อตรวจสอบการปฏิบัติตามข้อกำหนด
6. ทบทวนและปรับปรุง
หลังจากเกิดเหตุการณ์การโจมตีทางไซเบอร์หรือการละเมิดข้อมูล องค์กรควรทบทวนเหตุการณ์และใช้บทเรียนที่ได้เรียนรู้เพื่อปรับปรุงมาตรการรักษาความปลอดภัยและกระบวนการตอบสนองต่อเหตุการณ์
การปฏิบัติตาม PDPA และ GDPR อาจเป็นความท้าทายสำคัญสำหรับองค์กรในปัจจุบัน เนื่องด้วยภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยกลยุทธ์การรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่เหมาะสมและโซลูชันที่ครอบคลุม องค์กรสามารถปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลและปฏิบัติตามข้อกำหนดทางกฎหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งความปลอดภัยทางไซเบอร์ที่แข็งแกร่งไม่เพียงแต่ช่วยให้องค์กรหลีกเลี่ยงบทลงโทษทางกฎหมายเท่านั้น แต่ยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า บุคลากร และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องว่า ข้อมูลส่วนบุคคลของพวกเขาได้รับการปกป้องอย่างเหมาะสม
โซลูชัน Cybersecurity จาก Sangfor Technologies
Sangfor Technologies นำเสนอโซลูชัน Cybersecurity ที่ครอบคลุมทั้งการประมวลผลแบบคลาวด์ และโซลูชันโครงสร้างพื้นฐานไอที เพื่อช่วยให้องค์กรปฏิบัติตามข้อกำหนดของ PDPA และ GDPR ไม่ว่าจะเป็น Next-Generation Firewall (NGFW) บริการ Sangfor Endpoint Secure หรือโครงสร้างพื้นฐานแบบ Hyper-Converged (HCI) สำหรับการปกป้องข้อมูลในคลาวด์ และ Sangfor SASE ที่รวมเครื่องมือรักษาความปลอดภัยขั้นสูงเพื่อการปฏิบัติตามมาตรฐานข้อบังคับได้อย่างราบรื่น
สามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับโซลูชันด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์จาก Sangfor ได้ที่ www.sangfor.com หรือติดต่อผู้เชี่ยวชาญของเราเพื่อขอรับคำปรึกษาเพิ่มเติม